วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2557

เฉลยแบบฝึกหัด วิทยาศาสตร์ ม.2 หน่วยที่ 5 ปฏิกิริยาเคมี

เรื่องที่ 1 การเปลี่ยนแปลงของสาร

   การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ หมายความว่าอย่างไร 
(การเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวกับสมบัติทางกายภาพของสาร ไม่มีสารใหม่เกิดขึ้น 
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบและสมบัติทางเคมีของสารจะเหมือนเดิม 
แต่รูปร่างภายนอก อาจแตกต่างจากเดิม)
   การเปลี่ยนแปลงทางเคมี หมายความว่าอย่างไร 
(การเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับการเกิดปฏิกิริยาเคมี มีสารใหม่เกิดขึ้น โดยสารใหม่ที่เกิดขึ้น 
มีองค์ประกอบและสมบัติทางเคมี  แตกต่างไปจากเดิม)
   การเปลี่ยนแปลงของสารในชีวิตประจำวันการเปลี่ยนแปลงใดบ้างจัดเป็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ
และการเปลี่ยนแปลงใดบ้างจัดเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเคมี                                  
(การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เช่น การระเหิดของลูกเหม็น การระเหยของน้ำ 
การเปลี่ยนแปลงทางเคมี เช่น การเกิดสนิมเหล็ก การระเบิดของประทัด)
   จงยกตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงสมบัติทางกายภาพ และการเปลี่ยนแปลงสมบัติทางเคมีของสารที่นักเรียนเคยพบในชีวิตประจำวันมาอย่างละ 3 ตัวอย่าง 
(ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ  เช่น การกลายเป็นไอของน้ำ การระเหิดของลูกเหม็น 
การหลอมเหลวของน้ำแข็งตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงทางเคมี เช่น การเกิดสนิมของเหล็ก 
การบูดเน่าของอาหาร    การที่นักเรียนอมข้าวที่เคี้ยวไว้ แล้วรู้สึกว่ามีรสหวานเกิดขึ้น)
   จงบอกหลักและวิธีการใช้สารเคมีที่ถูกต้องและปลอดภัย 
(1.ต้องศึกษาสมบัติของสารเคมีที่จะใช้อย่างละเอียดก่อนใช้โดยศึกษาทั้งสมบัติทางกายภาพและสมบัติทางเคมี              2. ใช้สารเคมีอย่างระมัดระวังที่สุด โดยปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด)
   การเปลี่ยนแปลงต่อไปนี้จัดเป็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพหรือการเปลี่ยนแปลงทางเคมี  เพราะเหตุใด

   









   
   การเปลี่ยนแปลงที่นักเรียนแต่ละคนยกตัวอย่างมาเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
(แตกต่างกัน คือ การเปลี่ยนแปลงบางอย่างมีสารใหม่เกิดขึ้น บางอย่างไม่มีสารใหม่เกิดขึ้น)
   การเปลี่ยนแปลงชนิดใดบ้างที่มีสารใหม่เกิดขึ้น
(การเผาไหม้ของเทียนไขมีแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เกิดขึ้น ตั้งน้ำปูนใสทิ้งไว้จะมีตะกอนขาวขุ่นเกิดขึ้น 
การเกิดสนิมของโลหะ)
   ถ้านักเรียนจะจำแนกประเภทของการเปลี่ยนแปลงจะจำแนกได้กี่ประเภท อะไรบ้าง
(2 ประเภท คือ การเปลี่ยนแปลงที่หลังการเปลี่ยนแปลงมีสารใหม่เกิดขึ้น เรียกการเปลี่ยนแปลง              
ทางเคมี และการเปลี่ยนแปลงที่หลังการเปลี่ยนแปลงไม่มีสารใหม่เกิดขึ้น เรียกการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ)
   การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและการเปลี่ยนแปลงทางเคมีแตกต่างกันอย่างไร
(การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพจะทำให้สมบัติทางกายภาพของสารเปลี่ยนไป 
แต่องค์ประกอบ และสมบัติทางเคมีของสารจะเหมือนเดิม 
ส่วนการเปลี่ยนแปลงทางเคมีภายหลังการเปลี่ยนแปลงจะมีสารใหม่เกิดขึ้น
ซึ่งสารใหม่ที่ได้จะมีองค์ประกอบ และสมบัติทางเคมีแตกต่างจากเดิม)

กิจกรรมการทดลอง การเปลี่ยนแปลงทางเคมี

   ปัญหาของการทดลองนี้คืออะไร 
(เมื่อเทสารละลายโพแทสเซียมไอโอไดด์และสารละลายเลด(II)ไนเตรตผสมกันจะเกิดการเปลี่ยนแปลง
หรือไม่ อย่างไร)
   เมื่อเทสารละลายโพแทสเซียมไอโดไดด์ (KI) ลงในสารละลายเลด (II) ไนเตรต [Pb(NO3)2)] นักเรียน
คาดคะเนว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่างไร 
(ถ้าสารละลายทั้ง 2 ชนิด สามารถเกิดปฏิกิริยาเคมีกันได้เมื่อเทรวมกันจะมีสารชนิดใหม่เกิดขึ้น 
ซึ่งมีสมบัติแตกต่างไปจากสารเดิม)
  จงอธิบายวิธีการตวงสารโดยใช้กระบอกตวงมาพอเข้าใจ 
(เทของเหลวที่ต้องการตวง ลงในกระบอกตวงจนถึงขีดบอกปริมาตรตามต้องการ 
ควรใช้หลอดหยดช่วยหยดสารเพิ่มลงไปทีละหยดจนถึงขีดบอกปริมาตรพอดีแล้ว
อ่านปริมาตรของเหลวที่ระดับสายตา)
   เมื่อผสมสารละลายเลด (II) ไนเตรต และสารละลายโพแทสเซียมไอโดไดด์
เข้าด้วยกัน เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่างไร 
(เมื่อเทสารละลายทั้ง 2 ชนิดรวมกันจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นคือ เกิดตะกอนสีเหลืองขึ้น)
   การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจัดเป็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ หรือการเปลี่ยนแปลงทางเคมี
เพราะเหตุใด
(การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจัดเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเคมี เพราะหลังจากสิ้นสุดการเปลี่ยนแปลงแล้วมีสารชนิดใหม่เกิดขึ้น คือ ตะกอนสีเหลือง ซึ่งมีสมบัติแตกต่างไปจากเดิม)
   จงสรุปผลการทดลอง 
(จากการทดลองจะพบว่า สารละลายโพแทสเซียมไอโอไดด์และสารละลายเลด (II) ไนเตรต 
เป็นของเหลวใส ไม่มีสีเหมือนกัน แต่เมื่อเทสารทั้งสองชนิดรวมกัน จะมีตะกอนสีเหลืองเกิดขึ้น 
แสดงว่ามีสารชนิดใหม่เกิดขึ้น ซึ่งสารใหม่จะมีสมบัติเปลี่ยนไปจากสารเดิม เช่น มีสีเหลือง 
ไม่ละลายน้ำ จึงทำให้มองเห็นเป็นตะกอน เราเรียกการเปลี่ยนแปลงในลักษณะดังกล่าวว่า 
การเปลี่ยนแปลงทางเคมี เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบทางเคมีของสาร)
   จงยกตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและการเปลี่ยนแปลงสมบัติทางเคมีของสาร
ที่นักเรียนเคยพบในชีวิตประจำวันมาอย่างละ 3 ตัวอย่าง 
(ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ  เช่น การกลายเป็นไอของไอน้ำ การระเหิดของลูกเหม็น
 การหลอมเหลวของน้ำแข็งตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงทางเคมี เช่น การขึ้นสนิมของเหล็ก
การบูดเน่าของอาหาร   การที่นักเรียนอมข้าวที่เคี้ยวไว้รู้สึกมีรสหวานเกิดขึ้น)
   จงบอกหลักและวิธีการใช้สารเคมีที่ถูกต้องและปลอดภัย
(1. ต้องศึกษาสมบัติของสารเคมีที่จะใช้อย่างละเอียดก่อนใช้ โดยศึกษาทั้งสมบัติทางกายภาพและ
สมบัติทางเคมี      2. ใช้สารเคมีอย่างระมัดระวังที่สุด โดยปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด)
   ให้นักเรียนสรุปความรู้ด้วยตนเองเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ และทางเคมีของสาร 
ให้ได้ลักษณะดังนี้









เรื่องที่ 3 ปฏิกิริยาเคมีและสมการเคมี

   ปฏิกิริยาเคมีและสมการเคมีคืออะไร จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบ
(ปฏิกิริยาเคมี คือ การเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เกิดสารใหม่ โดยสารที่เกิดขึ้นจะมีองค์ประกอบ
และสมบัติทางเคมี แตกต่างจากสารเดิม เช่น การเกิดสนิมเหล็ก สารใหม่ที่เกิด คือ ออกไซด์ของเหล็ก
สมการเคมี คือ สัญลักษณ์ที่ใช้อธิบายกระบวนการเกิดปฏิกิริยาเคมี เช่น





              

 

เรื่องที่ 4  ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดปฏิกิริยาเคมี

(ปฏิกิริยาระหว่างโลหะแมกนีเซียมกับกรด)

   ปัญหาของการทดลองนี้คืออะไร 
(เมื่อหย่อนลวดแมกนีเซียมลงในสารละลายกรดไฮโดรคลอริกเจือจางและในน้ำกลั่น 
จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเหมือนหรือต่างกันอย่างไร)
   เมื่อหย่อนลวดแมกนีเซียมลงในสารละลายกรดไฮโดรคลอริกเจือจางและในน้ำกลั่น
นักเรียนคาดคะเนว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร 
(ลวดแมกนีเซียมในสารละลายกรดไฮโดรคลอริกเจือจาง
จะเกิดฟองแก๊สอย่างรวดเร็ว ส่วนในน้ำกลั่นจะเกิดฟองแก๊สอย่างช้า ๆ )
   ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรควบคุมของการทดลองนี้คืออะไร
(ตัวแปรต้น  คือ สารละลายกรดไฮโดรคลอริกเจือจาง และน้ำกลั่น
ตัวแปรตาม คือ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ตัวแปรควบคุม  คือ 
ขนาดของลวดแมกนีเซียม ปริมาณสารละลายกรดไฮโดรคลอริกเจือจางและน้ำกลั่น)
   ผลการทดลองเป็นไปตามที่คาดคะเนหรือไม่ อย่างไร
(เป็นไปตามที่คาดคะเน คือ ลวดแมกนีเซียมทำปฏิกิริยากับกรดได้เร็วกว่าทำปฏิกิริยากับน้ำ)
   เมื่อหย่อนลวดแมกนีเซียมลงในสารละลายกรดไฮโดรคลอริกเจือจางเกิดการเปลี่ยนแปลง
เหมือนหรือต่างจากเมื่อหย่อนลวดแมกนีเซียมลงในน้ำกลั่นอย่างไร
(ต่างกัน ลวดแมกนีเซียมจะทำปฏิกิริยากับกรดได้เร็วกว่าทำปฏิกิริยากับน้ำ)
   การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้ง 2 หลอดเป็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ หรือการเปลี่ยนแปลงทางเคมี
ทราบได้อย่างไร
(เป็นการเปลี่ยนแปลงทางเคมี ทราบได้จากมีสารใหม่เกิดขึ้น คือ ฟองแก๊สและโลหะเกิดการสึกกร่อน)
   สารใหม่ที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาเคมีในการทดลองครั้งนี้คืออะไร
(หลอดที่ 1 คือ แก๊สไฮโดรเจน และเกลือ MgCl2 หลอดที่ 2 คือ Mg(OH)2และแก๊สไฮโดรเจน)

   จงเขียนสมการเคมีแสดงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในหลอดทดลองทั้ง 2 หลอด

   


จงสรุปผลการทดลอง 
(ลวดแมกนีเซียมทำปฏิกิริยากับกรดได้เร็วกว่าทำปฏิกิริยากับน้ำ เกิดสารผลิตภัณฑ์ คือ แก๊สไฮโดรเจนเกิดขึ้น)
   ปฏิกิริยาเคมีและสมการเคมีคืออะไร จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบ




(ปฏิกิริยาเคมี คือ การเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เกิดสารใหม่ โดยสารที่เกิดขึ้น
จะมีองค์ประกอบและสมบัติทางเคมี แตกต่างจากสารเดิม เช่น การเกิดสนิมเหล็ก
สารใหม่ที่เกิด คือ ออกไซด์ของเหล็ก สมการเคมี คือ 
สัญลักษณ์ที่ใช้อธิบายกระบวนการเกิดปฏิกิริยาเคมี เช่น 


   
   อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีคืออะไร และจะมีวิธีการวัดอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีได้อย่างไร 
(อัตราการเกิดปฏิกิริยา คือ ปริมาณสารผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นต่อหนึ่งหน่วยเวลา หรือปริมาณ 
สารตั้งต้นที่ลดลงต่อหนึ่งหน่วยเวลา วิธีการวัดอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีทำได้โดยวัดปริมาณ
สารตั้งต้นที่ลดลงหรือปริมาณสารผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่กำหนด)
   ปัจจัยใดบ้างที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีให้เขียนเป็นแผนภาพความคิด

   ถ้าต้องการทราบว่าความเข้มข้นของสารมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีหรือไม่ จะตรวจสอบได้อย่างไร
(นำสารชนิดเดียวกันที่มีความเข้มข้นต่างกัน มาทำปฏิกิริยากับสารอีก ชนิดหนึ่ง สังเกตการเปลี่ยนแปลง
เช่น ตรวจสอบปฏิกิริยาระหว่างโลหะแมกนีเซียมกับกรด กำหนดให้มวลของโลหะแมกนีเซียมคงที่
แล้วเปลี่ยนความเข้มข้นของกรดที่ทำปฏิกิริยา  สังเกตอัตราการเกิดแก๊ส)
   นักเรียนจะนำความรู้เกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีไปใช้ในชีวิตประจำวัน
เพื่อประโยชน์ต่อท้องถิ่น ประเทศ หรือสังคมโลกได้อย่างไร
( การใช้แคลเซียมคาร์ไบด์ (CaC2) บ่มผลไม้ให้สุกเร็วขึ้น เมื่อสัมผัสกับกรดต้องรีบล้างด้วยน้ำสะอาด
โดยให้น้ำไหลผ่านตลอดเวลาเพื่อเจือจางกรด จะทำให้กรดกัดเนื้อเยื่อได้น้อยลง (ลดอัตราการเกิดปฏิกิริยา) )
   กฎทรงมวลของลาวัวซีเย กล่าวว่าอย่างไร
(การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ของสารที่อยู่ในระบบปิด มวลรวมของสารก่อนเกิดปฏิกิริยาเท่ากับมวลรวมของ
สารหลังเกิดปฏิกิริยา)
   นำสาร A 5 กรัม มาทำปฏิกิริยากับสาร B 10 กรัม ในภาชนะปิด เกิดสาร C และสาร D 
ดังสมการเคมี A+B       C+D จงหาว่าถ้ามีสาร C เกิดขึ้น 3 g จะมีสาร D เกิดขึ้นกี่กรัม เพราะเหตุใด
(เกิดสาร D 12 กรัม โดยใช้กฎทรงมวลของลาวัวซีเย อธิบาย)
   สมชายศึกษาปฏิกิริยาระหว่างหินปูนกับกรดไฮโดรคลอริก โดยหย่อนหินปูนลงในบีกเกอร์ที่
บรรจุกรดได้ผลิตภัณฑ์เป็นแคลเซียมคลอไรด์ น้ำ และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ 
สมชายพบว่าผลการทดลองไม่สอดคล้องกับกฎทรงมวล คือหลังสิ้นสุดปฏิกิริยา 
ปรากฏว่ามวลรวมของสารผลิตภัณฑ์น้อยกว่ามวลรวมของสารตั้งต้น 
นักเรียนอธิบายได้หรือไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใด
(เพราะไม่ได้ทำการทดลองในระบบปิด แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จะระเหยสู่สิ่งแวดล้อม ทำให้
มวลรวมของสารหลังเกิดปฏิกิริยาน้อยกว่ามวลรวมของสารตั้งต้น)            

เรื่องที่ 6 พลังงานกับการเกิดปฏิกริยาเคมี

(การเปลี่ยนแปลงพลังงานเมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมี)

กิจกรรมเรื่อง การเปลี่ยนแปลงพลังงานเมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมี 

   ปัญหาของการทดลองนี้คืออะไร
(การเกิดปฏิกิริยาเคมีของสารมีการเปลี่ยนแปลงพลังงานเกิดขึ้นหรือไม่ อย่างไร)
   สมมุติฐานของการทดลองนี้คืออะไร
(การเกิดปฏิกิริยาของสารแต่ละชนิดจะมีการเปลี่ยนแปลงพลังงานทำให้อุณหภูมิหลังเกิด
ปฏิกิริยาเคมีเปลี่ยนแปลงจากเดิม)
   การเปลี่ยนแปลงของสารทั้ง 2 ชุด เกิดปฏิกิริยาเคมีหรือไม่ ทราบได้อย่างไร
(การเปลี่ยนแปลงทั้งสองกรณี เกิดปฏิกิริยาเคมี เพราะสังเกตได้จากมีสารใหม่เกิดขึ้นคือ
สารสีดำ (ชุดที่ 1) และมีแก๊สแอมโมเนีย (ชุดที่ 2) เกิดขึ้น)
   การเปลี่ยนแปลงของสารในกิจกรรมนี้ มีการเปลี่ยนแปลงพลังงานหรือไม่ อย่างไร

(มีการเปลี่ยนแปลงพลังงาน เพราะหลังเกิดปฏิกิริยาอุณหภูมิเปลี่ยนไป)

   ปฏิกิริยาระหว่างน้ำตาลทรายและด่างทับทิม มีการเปลี่ยนแปลงพลังงานแบบใด

(เป็นปฏิกิริยาแบบคายความร้อน)

   ปฏิกิริยาระหว่างแอมโมเนียมคลอไรด์และปูนขาว มีการเปลี่ยนแปลงพลังงานแบบใด

(เป็นปฏิกิริยาแบบดูดพลังงาน)

   จงสรุปผลการทดลอง 
(ปฏิกิริยาเคมีระหว่างด่างทับทิมกับน้ำตาลทราย หลังเกิดปฏิกิริยามีอุณหภูมิสูงขึ้น
จัดเป็นปฏิกิริยาแบบคายพลังงาน ส่วนปฏิกิริยาระหว่างแอมโมเนียม-คลอไรด์กับปูนขาว
หลังเกิดปฏิกิริยามีอุณหภูมิต่ำลง จัดเป็นปฏิกิริยาแบบดูดพลังงาน)
   ให้นักเรียนยกตัวอย่างปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจำวันมา 2 ปฏิกิริยา
พร้อมทั้งระบุด้วยว่า เป็นปฏิกิริยาเคมีแบบดูดความร้อนหรือแบบคายความร้อน
(ปฏิกิริยาการเผาไหม้ เป็นปฏิกิริยาเคมีแบบคายความร้อน 
ปฏิกิริยาการแยกสลายแอมโมเนีย เป็นปฏิกิริยาแบบดูดความร้อน)




เรื่องที่ 10 ผลของปฏิกิริยาเคมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม

(การสึกกร่อนของโลหะ)

   ปัจจัยที่มีผลต่อการสึกกร่อนของโลหะ มีอะไรบ้าง 
ตัวอย่างคำตอบ ความชื้นปฏิกิริยาเคมี)
   สิ่งใดเป็นสาเหตุที่ทำให้ตะปูเกิดสนิม
(ความชื้น)
   การสึกกร่อนของโลหะเกิดขึ้นได้อย่างไร และจะมีวิธีการป้องกันได้อย่างไรบ้าง
(- สาเหตุที่ทำให้โลหะสึกกร่อน คือ โลหะสัมผัสกับสารที่เป็นกรด
หรือโลหะทำปฏิกิริยากับน้ำ และออกซิเจน
- วิธีป้องกันทำได้โดยเช็ดโลหะให้แห้ง หรือเคลือบผิวโลหะด้วยการทาน้ำมัน)

   ปัญหาของการทดลองนี้คืออะไร 
ปัจจัยใดบ้างที่มีผลต่อการสึกกร่อนของโลหะ)
   นักเรียนคาดคะเนว่าตะปูเหล็กแต่ละตัวที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน
เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่
(เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยจะมีสนิมเกิดขึ้น)
   ผลการทดลองเป็นไปตามที่คาดคะเนหรือไม่ อย่างไร
(เป็นไปตามที่คาดคะเน คือ   มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับตะปูเหล็ก โดยมีสนิมเกิดขึ้น)
   ตะปูเหล็กแต่ละตัวที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต่างกันเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่างไร
(ตะปูเหล็กที่อยู่ในหลอดทดลองที่มีน้ำอยู่สูงครึ่งหนึ่งของตะปูจะมีสนิมเกิดขึ้นมากกว่า
ตะปูเหล็กที่วางไว้ในอากาศ ส่วนตะปูที่ทาวาสลีนแล้ววางไว้ในอากาศไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง)
   การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพหรือการเปลี่ยนแปลงทางเคมี
ทราบได้อย่างไร
(การเปลี่ยนแปลงทางเคมี เพราะมีสารใหม่เกิดขึ้น คือ สนิมเหล็ก)
   จงสรุปผลการทดลอง
(โลหะจะเกิดการสึกกร่อนได้เมื่ออยู่ในสารที่มีสภาพเป็นกรด และจะเกิดสนิม
ในบริเวณที่สัมผัสกับน้ำและอากาศ)


เรื่องที่ 11 ผลของปฏิกิริยาเคมีต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม

(การสึกกร่อนของวัสดุคาร์บอเนต ปฏิกิริยาสะเทิน และปฏิกริยาเคมี)

   เพราะเหตุใดจึงไม่นิยมใช้ภาชนะอะลูมิเนียมใส่อาหารพวกแกงส้ม ต้มยำ หรือ
ใส่น้ำปูนใสเพื่อแช่ผัก ผลไม้ให้กรอบ
(เพราะแกงส้ม ต้มยำ มีสมบัติเป็นกรด ทำปฏิกิริยากับโลหะอะลูมิเนียม
ได้สารประกอบอะลูมิเนียม และแก๊สไฮโดรเจน ส่วนน้ำปูนใสมีสมบัติเป็นเบส
ซึ่งสามารถทำปฏิกิริยากับโลหะอะลูมิเนียม ทำให้เกิดการสึกกร่อนได้)
   จงยกตัวอย่างปฏิกิริยาระหว่างโลหะกับออกซิเจนที่พบในชีวิตประจำวันปฏิกิริยา
ดังกล่าวเป็นประโยชน์หรือทำให้เกิดความเสียหาย ถ้าเป็นปฏิกิริยาที่ก่อให้เกิดความเสียหาย
นักเรียนจะมีวิธีป้องกันหรือแก้ไขอย่างไรบ้าง
(การเกิดสนิมที่รั้วลวดหนามหลังคาสังกะสี ซึ่งทำให้เกิดความเสียหาย
ป้องกันโดยทาสีกันสนิมที่โลหะนั้น)
   โต๊ะปฏิบัติการทดลองควรทำด้วยหินอ่อนหรือหินปูนหรือไม่ เพราะเหตุใด
(ไม่ควร เพราะอาจโดนกรดทำให้เกิดการสึกกร่อนได้)
   เพราะเหตุใดจึงต้องมีการบูรณปฏิสังขรณ์สถูปหรือเจดีย์ที่ทำด้วยวัสดุคาร์บอเนต
(เพราะน้ำฝนในธรรมชาติส่วนใหญ่เป็นฝนกรด จึงอาจกัดกร่อนสถูปหรือเจดีย์ ซึ่งเป็น
วัสดุคาร์บอเนตได้ ทำให้ได้รับความเสียหาย ดังนั้น จึงต้องมีการบูรณปฏิสังขรณ์)
   จงยกตัวอย่างการสึกกร่อนของวัสดุคาร์บอเนตที่นักเรียนเคยพบเห็นในชีวิตประจำวัน
(น้ำยาล้างห้องน้ำ ซึ่งมีสมบัติเป็นกรด ทำให้พื้นห้องน้ำกร่อนเร็วขึ้น)
   การเผาไหม้เชื้อเพลิงในสภาพที่มีออกซิเจนไม่เพียงพอ จะก่อให้เกิดผลต่อสิ่งแวดล้อม
ของโลกอย่างไรบ้าง
(ทำให้เกิดเขม่าควัน ทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นลดลงเกิดกลิ่นเหม็น
อาคารบ้านเรือนสกปรก เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ)
   นักเรียนมีวิธีป้องกันการเกิดสนิมหรือป้องกันการผุกร่อนของรถจักรยานได้อย่างไร
เพื่อเป็นการช่วยพ่อแม่ประหยัดตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
(ไม่ปล่อยให้รถจักรยานตากน้ำฝนหรือโดนน้ำบ่อย ๆ หรือถ้าโดนน้ำ ต้องรีบเช็ด
ทำความสะอาดให้แห้ง หรือทาสีกันสนิม)
   ในท้องถิ่นของนักเรียนใช้สารเคมีชนิดใดบ้าง และใช้เพื่อวัตถุประสงค์ใด
( ใช้ยาปราบศัตรูพืชในแปลงเกษตร)
   ผลกระทบที่เกิดจากการใช้สารเคมีและการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีที่เกิดขึ้น
ในท้องถิ่นของนักเรียน ในประเทศไทยมีอะไรบ้าง จงยกตัวอย่างประกอบ
(- สารเคมีมีผลต่อการเจริญของสิ่งมีชีวิตในน้ำ เช่น ผงซักฟอกที่ทิ้งลงแหล่งน้ำ
จะทำให้พืชน้ำเติบโตอย่างรวดเร็ว แย่งออกซิเจนกันทำให้ออกซิเจนในน้ำลดลง
เป็นสาเหตุทำให้น้ำเน่าเสีย
- สารเคมีบางชนิดที่ตกค้างในดินมีผลทำให้ดินเสื่อมสภาพ ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก)
   นักเรียนมีวิธีป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการใช้สารเคมีของคนในท้องถิ่นอย่างไร
(- ให้ความรู้เกี่ยวกับประโยชน์และโทษของสารเคมีแต่ละชนิดที่คนในท้องถิ่นใช้
- รณรงค์ให้ช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อม หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
โดยใช้สารสกัดจากธรรมชาติทดแทนการใช้สารเคมี)
   นักเรียนมีวิธีรณรงค์ให้คนในท้องถิ่นลดปริมาณการใช้สารเคมีเพื่อท้องถิ่น
ของตนเองและเพื่อสังคมโลกได้อย่างไร
(- ส่งเสริมการใช้สารสกัดจากธรรมชาติทดแทนการใช้สารเคมี
- จัดโครงการประกวดครอบครัว หรือชุมชนที่สามารถลดการใช้สารเคมีได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
- เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการใช้สารสกัดธรรมชาติทดแทนการใช้สารเคมี โดยการจัดป้ายนิเทศใน
แหล่งเรียนรู้ของคนในชุมชน)
   นักเรียนควรจะปลูกพืชผักสวนครัวเพื่อรับประทานเองที่บ้านหรือไม่ เพราะเหตุใด
จงอธิบายโดยใช้ความรู้เรื่อง ผลกระทบจากการใช้สารเคมีและเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง
(ควรปลูกพืชผักสวนครัวเพื่อรับประทานเอง โดยมีข้อดี ดังนี้
1) การปลูกผักสวนครัวเพื่อรับประทานเอง เป็นการลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน
2) เป็นงานอดิเรก ได้ออกกำลังกาย
3) การปลูกผักเพื่อรับประทานเอง สามารถมั่นใจได้ว่าปลอดจากสารพิษตกค้าง
เพราะปัจจุบันการปลูกผักเป็นอาชีพเพื่อการค้า มีการใช้สารเคมีกันมากเพื่อให้พืชผักปราศจากโรค
และแมลงจะได้มีราคา จนบางครั้งไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดแก่ผู้บริโภค)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น